Tajima Wagyu ที่สุดแห่งเนื้อวากิวที่นักชิมตัวจริงต้องลิ้มลอง
เมื่อพูดถึงเนื้อวากิว หลายคนคงนึกถึงความนุ่มละลายในปากและลายหินอ่อนที่งดงามเหมือนงานศิลปะ แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในสายพันธุ์วากิวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นกำเนิดคุณภาพระดับพรีเมียมที่สุดคือ Tajima Wagyu (ทาจิมะ วากิว) มักจะถูกกล่าวถึงเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน คุณภาพที่สืบทอดมาอย่างพิถีพิถัน และรสสัมผัสที่ยากจะหาเทียบได้ ทำให้ Tajima Wagyu ไม่ได้เป็นเพียงแค่เนื้อวัว แต่คือสัญลักษณ์แห่งความพิถีพิถัน คุณภาพ และรสชาติที่ยากจะหาใครเทียบได้
Tajima Wagyu คืออะไร
Tajima Wagyu มีต้นกำเนิดมาจากวัวสายพันธุ์ขนดำญี่ปุ่น (Japanese Black) ในเขตทาจิมะ (Tajima) ซึ่งปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ประเทศญี่ปุ่น วัวสายพันธุ์ทาจิมะนี้ถือเป็นบรรพบุรุษทางพันธุกรรมที่สำคัญอย่างยิ่งของวัววากิวที่มีชื่อเสียงหลายชนิดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโกเบ (Kobe Beef) และเนื้อมัตสึซะกะ (Matsusaka Beef) ซึ่งเนื้อโกเบเองก็ถูกจัดเป็นเนื้อวากิวคุณภาพสูงที่มาจากวัวทาจิมะที่เลี้ยงในจังหวัดเฮียวโงะภายใต้มาตรฐานที่เข้มงวด
ด้วยความโดดเด่นทางพันธุกรรม ทำให้วัวทาจิมะมีลักษณะเฉพาะ คือ โครงสร้างกระดูกที่ละเอียด เนื้อสัมผัสที่บางเบา และที่สำคัญที่สุด คือ ความสามารถในการสร้างลายไขมันแทรกในกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่า "มาร์เบิลลิ่ง" (Marbling) ในระดับที่สูงมาก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ของวากิว
Tajima Wagyu ความพิเศษที่เหนือกว่าเนื้อวัวทั่วไป

สิ่งที่ทำให้ Tajima Wagyu แตกต่างและพิเศษกว่าเนื้อวัวชนิดอื่น ๆ คือ
1. ลายไขมันที่เป็นลายหินอ่อนที่ละเอียดและกระจายสม่ำเสมอ (Exquisite Marbling)
ลายไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อวากิวทาจิมะมีความละเอียด ประณีต และกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอจนดูคล้ายกับลายหินอ่อน (Marble Score - MBS) ไขมันนี้ไม่ใช่แค่ไขมันทั่วไป แต่เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำมาก ทำให้เมื่อสัมผัสกับความร้อนเพียงเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งความร้อนในปาก เนื้อจะ "ละลายในปาก" มอบความชุ่มฉ่ำและรสชาติเนยอันหอมหวานที่เข้มข้นอย่างเป็นเอกลักษณ์
2. รสชาติและเนื้อสัมผัสที่เหนือชั้น
Tajima Wagyu มีรสชาติที่อูมามิ (Umami) เข้มข้น ผสานกับความหอมมันที่นุ่มนวล เนื้อสัมผัสมีความนุ่ม ไม่เหนียว และความฉ่ำจากไขมันที่ละลายจะช่วยเคลือบลิ้น มอบประสบการณ์การเคี้ยวที่เบาบางและน่าจดจำ จึงให้ประสบการณ์การทานที่แตกต่างจากเนื้อวัวทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
3. การเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันและได้มาตรฐาน
ไม่ว่าจะเป็น Tajima Wagyu จากญี่ปุ่น หรือ Tajima Wagyu ที่ถูกนำสายพันธุ์มาเลี้ยงอย่างพิถีพิถันในประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย (Australian Tajima Wagyu) ภายใต้การควบคุมอาหารที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ (มักเน้นธัญพืชสีขาว) และเลี้ยงในระยะเวลานาน (โดยเฉลี่ยกว่า 300-400 วัน) ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ความใส่ใจในทุกขั้นตอนการเลี้ยงดูนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าวัวจะเติบโตอย่างมีความสุข ไม่เครียด และผลิตเนื้อที่มีคุณภาพสูงสุด พร้อมการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) และการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่เข้มงวด
ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของ Tajima Wagyu

แม้ว่า Tajima Wagyu จะมีไขมันสูง แต่ไขมันแทรกส่วนใหญ่นั้นเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acids - MUFAs) ซึ่งรวมถึงกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ในปริมาณสูง คล้ายกับไขมันที่พบในน้ำมันมะกอก ซึ่งถือเป็น "ไขมันดี" ที่มีงานวิจัยระบุว่า
- ดีต่อสุขภาพหัวใจ: สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) และเพิ่มระดับ HDL (คอเลสเตอรอลดี) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
- อุดมไปด้วยสารอาหาร: เนื้อวากิวมีสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่สมดุล ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของร่างกายและสมอง
- มีวิตามิน B และแร่ธาตุจำเป็น : เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี กระตุ้นเมทาบอลิซึมและการสร้างเม็ดเลือด
เมื่อนำมาปรุงที่อุณหภูมิและวิธีที่ถูกต้อง จะช่วยให้ได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วนพร้อมรสชาติที่ยอดเยี่ยม และการได้ลิ้มรส Tajima Wagyu จึงไม่เพียงแต่เติมเต็มความปรารถนาด้านรสชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าเนื้อวัวทั่วไปอีกด้วย
วิธีปรุงเนื้อ Tajima Wagyu ให้อร่อยแบบมืออาชีพ

การทำ Tajima Wagyu ไม่ควรซับซ้อน หรือใช้เวลาในการปรุงนานเกินไป เคล็ดลับ คือ การเน้นรสชาติของตัวเนื้อให้โดดเด่นที่สุด
- วิธีการปรุงแบบดั้งเดิม : การย่างบนเตาไฟ โดยจะหั่นเนื้อเป็นชิ้นอย่างประณีตและย่างด้วยไฟแรงเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อให้ได้เนื้อด้านนอกที่กรอบนอกนุ่มใน ขณะที่เนื้อด้านในยังคงความชุ่มฉ่ำและนุ่มอยู่
- วิธีทำสเต๊กเนื้อวากิว ด้วย 3 วิธี :
- การทอดในกระทะ - นำสเต๊กลงไปย่างบนกระทะพร้อมน้ำมันร้อนจัดให้ผิวนอกสุกกรอบ จากนั้นพักเนื้อไว้ แล้วค่อยตุ๋นหรืออบต่อให้เนื้อสุกทั่วถึง เวลาทำสเต๊กระดับ Medium ขนาดมาตรฐานใช้เวลาประมาณ 4 นาที หากชอบแบบ Rare ลดเวลาเหลือประมาณ 2 นาทีครึ่ง
- การอบในเตาอบ - วิธีนี้เป็นที่นิยมมากเช่นกัน เริ่มจากการย่างให้ผิวนอกสเต๊กพอมีสีก่อนแล้วพักเนื้อ จากนั้นนำไปอบในเตาอบที่อุ่นไว้ที่ 120°C สำหรับสเต๊กระดับ Medium ควรให้เนื้อมีอุณหภูมิภายในประมาณ 60–65°C ส่วนแบบ Rare ควรอยู่ที่ประมาณ 55°C
- การย่าง – หั่นเนื้อเป็นชิ้นแล้วนำไปรมความร้อนระยะเวลาสั้น ๆ ให้ด้านนอกมีสีสวย วิธีนี้เป็นสไตล์การทำสเต๊กวากิวแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น
หลังปรุงเสร็จทุกวิธี ควรห่อสเต๊กวากิวด้วยฟอยล์อย่างน้อย 5 นาที เพื่อให้เนื้อได้พัก ความชุ่มฉ่ำจะกระจายทั่วทั้งชิ้น ช่วยให้รสชาติและเนื้อสัมผัสดียิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่หลงใหลในรสชาติของเนื้อวากิวและมองหาความสมบูรณ์แบบในทุกคำที่สัมผัส Tajima Wagyu คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด ด้วยสายพันธุ์ที่เก่าแก่ การเลี้ยงดูที่ประณีต และคุณภาพเนื้อที่มีลายไขมันสวยงามจนได้คะแนนมาร์เบิลสกอร์ระดับพรีเมียม (ตั้งแต่ MBS 4 ขึ้นไปจนถึง 9+) ทำให้ทุกจานที่ปรุงจาก Tajima Wagyu ไม่ว่าจะเป็นสเต๊กระดับพรีเมียม ชาบู-ชาบู หรือยากินิคุ จะมอบประสบการณ์อันหรูหรา นุ่มละมุน และหอมมันที่ยากจะลืมเลือน
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังมองหาเนื้อวากิวเกรดพรีเมียมเพื่อสัมผัสรสชาติระดับโลก Tajima Wagyu คือทางเลือกที่ไม่ควรพลาด สามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ ที่นี่
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- ถอดรหัสสำหรับสายเนื้อ กับ “เนื้อวากิว (Wagyu)” คืออะไร มีกี่สายพันธุ์และมีกี่เกรด ?
- Marbling Score คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญต่อคนรักเนื้อวัว
- เนื้อสเต็ก: ความรู้เบื้องต้นและการเลือก Steak Cuts ยอดนิยมที่คุณควรรู้
- ทำไม “เนื้อวัวออสเตรเลีย” ถึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของสายเนื้อทั่วโลก?
อ้างอิง
