Lobster ราชาแห่งอาหารทะเล – ความหรูหราที่สัมผัสได้ในทุกคำ
เมื่อนึกถึงอาหารทะเลระดับพรีเมียมที่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา “Lobster” หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “กุ้งล็อบสเตอร์” คือหนึ่งในวัตถุดิบที่โดดเด่นที่สุด ด้วยรสชาติหวานนุ่ม ละเอียดอ่อน และเนื้อสัมผัสที่แน่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เมนูที่มีล็อบสเตอร์เป็นส่วนประกอบ มักถูกเสิร์ฟในร้านอาหารระดับหรูทั่วโลก ซึ่งทำให้มันได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาแห่งครัสเตเชียน" แม้ในอดีต ล็อบสเตอร์เคยถูกมองว่าเป็นอาหารราคาถูกสำหรับคนงานและนักโทษ แต่ปัจจุบันได้ก้าวขึ้นมาเป็นวัตถุดิบพรีเมียมที่นักชิมทุกคนต่างปรารถนา
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรสชาติของอาหารทะเล บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความอร่อยในแต่ละส่วนของ ล็อบสเตอร์
ล็อบสเตอร์ (Lobster) คืออะไร?

ล็อบสเตอร์ (Lobster) มีที่มาจากภาษาละตินคำว่า “locusta” ที่หมายถึง “ตั๊กแตน” จึงเป็นที่มาของฉายาที่หลายคนเรียกกันว่า “ตั๊กแตนแห่งท้องทะเล” เพราะมีลักษณะคล้าย คือ มีหนวดยาวสองเส้น Lobster เป็นสัตว์ทะเลน้ำเค็มขนาดใหญ่ในกลุ่มครัสเตเชียน (Crustacean) มีลักษณะคล้ายกุ้งแต่ตัวใหญ่กว่า มีเปลือกแข็งและก้ามคู่หน้าใหญ่โต ใช้สำหรับจับเหยื่อและป้องกันตัว โดยสามารถพบได้ทั่วไปในมหาสมุทรทั่วโลก ทั้งในเขตน้ำอุ่นและน้ำเย็น
ล็อบสเตอร์ (Lobster) เป็นสัตว์ที่เติบโตช้า ประมาณ 5-7 ปี อีกทั้งยังกินอาหารเยอะ ติดเชื้อได้ง่าย และการเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์นั้นทำได้ยาก จึงมักจะเป็นการจับทะเลลึก ดังนั้นล็อบสเตอร์ (Lobster) จึงมีราคาที่ค่อนข้างสูง
ล็อบสเตอร์แบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น
- American Lobster (Homarus Americanus) – พบมากในแถบอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะชายฝั่งตะวันออกของแคนาดาและสหรัฐฯ
- European Lobster (Homarus Aammarus) – มีถิ่นกำเนิดในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
- Rock Lobster หรือ Spiny Lobster – ไม่มีกรามใหญ่เหมือนสายพันธุ์น้ำเย็น นิยมพบในเขตร้อน เช่น ออสเตรเลีย ไทย และแถบแคริบเบียน
ในบรรดาสายพันธุ์ทั้งหมด Canadian Lobster หรือ “ล็อบสเตอร์แคนาดา” ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากอาศัยอยู่ในน้ำเย็นลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก ส่งผลให้เนื้อมีความแน่น หวาน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ทำไม Canadian Lobster ถึงโดดเด่นกว่าสายพันธุ์อื่น
สำหรับสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดโลกคือ Canadian Lobster ซึ่งจับได้จากน่านน้ำทะเลเย็นติดกับมหาสมุทรสำคัญของโลกถึงสามมหาสมุทร คือ แปซิฟิกเหนือ แอตแลนติกเหนือ และอาร์คติก ทั้งหมดล้วนเป็นน้ำทะเลเย็นที่สะอาด มีแร่ธาตุและอาหารที่ดี เหมาะสำหรับเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ทะเลคุณภาพหลายชนิด รวมถึงล็อบสเตอร์
สิ่งที่ทำให้ Canadian Lobster แตกต่าง คือ
- เนื้อล็อบสเตอร์มีความแน่นและหวาน เนื่องจากอาศัยในน้ำเย็นลึก ทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาได้ดี
- เนื้อล็อบสเตอร์ให้โปรตีนสูง มีไขมันอิ่มตัวที่น้อย ให้พลังงานและคอเลสเตอรอล "น้อยกว่า" เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่
- การประมงอย่างยั่งยืน เนื่องจากแคนาดามีกฎหมายควบคุมการจับล็อบสเตอร์อย่างเข้มงวด เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศในทะเล เรียกได้ว่าเป็น “ฟาร์มล็อบสเตอร์ที่ดีและใหญ่ที่สุดในโลก”
- สามารถขนส่งในระยะทางไกลได้อย่างไม่เสียคุณภาพ เนื่องจากล็อบสเตอร์แคนาดามีเปลือกที่แข็ง ทำให้ไม่เสียหายได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้ Canadian Lobster จึงถูกนำเข้าไปใช้ในร้านอาหารระดับ Michelin ทั่วโลก รวมถึงถูกส่งออกในรูปแบบแช่แข็งหรือเนื้อสัตว์พร้อมปรุง เพื่อคงความสดใหม่ไว้ให้ผู้บริโภคได้รับรสชาติที่ดีที่สุด
ส่วนต่าง ๆ ของ Lobster ที่ควรรู้

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Lobster แต่ละส่วนสามารถนำมาปรุงอาหารได้แตกต่างกัน ดังนี้
1. ก้าม (Claw): เป็นส่วนที่โดดเด่นและเต็มไปด้วยเนื้อที่อร่อย แน่นและนุ่ม เหมาะสำหรับอบหรือทำสเต๊ก ล็อบสเตอร์จะมีก้ามขนาดใหญ่คู่แรกที่ใช้สำหรับจับและฉีกเหยื่อ โดยทั่วไปแล้วจะมีก้ามสองแบบที่ทำหน้าที่ต่างกัน:
- Crusher Claw: เป็นก้ามที่ใหญ่กว่า มีลักษณะทู่และแข็งแรง ใช้สำหรับบดเปลือกหอยหรือปู เนื้อส่วนนี้จะแน่นและหวานจัด
- Pincer Claw: ก้ามที่เล็กกว่า มีลักษณะแหลมคม ใช้สำหรับฉีกอาหาร เนื้อจะนุ่มและมีเส้นใยละเอียดกว่า
2. หาง (Tail): เป็นส่วนที่มีเนื้อมากที่สุด และเป็นส่วนที่ยอดนิยมรับประทานมากที่สุด เนื้อแน่นขาวละเอียด มีรสชาติหวานและมีสัมผัสที่เด้ง เหมาะกับเมนูย่างหรืออบเนย
3. ลำตัว (Body): จะมีเนื้อแทรกอยู่ตามข้อต่อ สามารถนำมาทำซุปหรือซอสได้
4. ไข่ล็อบสเตอร์ (Roe): พบในล็อบสเตอร์ตัวเมีย มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ สีดำเมื่อดิบ และจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด (คล้ายปะการัง) เมื่อสุก มีรสชาติมัน และนิยมนำมาตกแต่งหรือผสมในซอสเพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติ
การทำความเข้าใจในแต่ละส่วนประกอบของ ล็อบสเตอร์ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การรับประทานอาหารทะเลชั้นเลิศนี้มีความเพลิดเพลินมากขึ้น แต่ยังทำให้เราซาบซึ้งในคุณค่าของวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ คุณค่าทางโภชนาการที่สูง
เคล็ดลับการปรุง Lobster ให้อร่อย

- รักษาความสดเป็นหัวใจสำคัญ หากเป็นล็อบสเตอร์สด ควรปรุงทันทีหลังจากได้มา เพราะจะให้รสชาติที่หวานและเนื้อแน่นที่สุด
- ไม่ปรุงนานเกินไป การต้มหรืออบนานจะทำให้เนื้อเหนียว ควรใช้เวลาเพียง 8–10 นาทีต่อขนาดตัวประมาณ 500 กรัม
- ชูรสด้วยเนยและเลมอน ใช้เนยละลายและน้ำมะนาวเพียงเล็กน้อยเพื่อขับรสธรรมชาติของ Lobster ได้อย่างลงตัว
- เสิร์ฟคู่ไวน์ขาวหรือแชมเปญ เพิ่มความหรูหราและช่วยเสริมรสชาติให้ละมุนยิ่งขึ้น
ล็อบสเตอร์ (Lobster) ไม่ใช่เพียงอาหารทะเลธรรมดา แต่คือสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา ความพิถีพิถัน และรสชาติที่เหนือระดับ ทุกตัวล้วนผ่านกระบวนการคัดสรรอย่างละเอียด เพื่อให้ได้สัมผัสความสดใหม่และรสชาติที่ดีที่สุด
หากคุณกำลังสนใจและอยากลิ้มลองรสชาติของ Lobster คุณภาพระดับพรีเมียมสำหรับปรุงเมนูพิเศษ หรือมื้อค่ำที่ไม่ธรรมดา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ ที่นี่
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- กุ้งลายเสือ ราชาแห่งกุ้งทะเลที่คุณไม่ควรพลาด
- หอยเชลล์ฮอกไกโด Hokkaido Scallop: สุดยอดวัตถุดิบระดับพรีเมียมจากทะเลญี่ปุ่น
- ส่องความต่างของเนื้อปูกระป๋อง เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเมนูของคุณ
- หอยแมลงภู่ชิลีอาหารทะเลสุดพรีเมียม ความอร่อยที่ไม่ควรพลาด
อ้างอิง
