เนื้อแกะ: วัตถุดิบระดับพรีเมียม สู่ประสบการณ์อาหารเหนือระดับ

เนื้อแกะ ถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ทั้งในวงการอาหารตะวันตก ตะวันออกกลาง และแม้แต่ในประเทศไทยก็เริ่มมีการนำเนื้อแกะมาประยุกต์เข้ากับอาหารไทยมากขึ้น ด้วยรสสัมผัสเฉพาะตัว เนื้อนุ่ม กลิ่นหอม และคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้เนื้อแกะกลายเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกที่แตกต่างจากเนื้อวัวหรือหมูทั่วไป
ทำความรู้จักกับเนื้อแกะ
เนื้อแกะหรือเนื้อลูกแกะ (Lamb) คือ เนื้อที่ได้จากลูกแกะที่ยังไม่มีฟันหน้าถาวร ซึ่งโดยปกติจะมีอายุราว 12 เดือน มีความนุ่มและมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ รสชาติกลมกล่อม เหมาะสำหรับการปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น สเต๊ก ซี่โครงอบ แกงกะหรี่ หรือย่างแบบเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะเนื้อ
ส่วนเนื้อแกะ (Mutton) หมายถึง เนื้อที่ได้มาจากแกะที่มีฟันหน้าถาวรอย่างน้อยหนึ่งซี่ ซึ่งโดยปกติเนื้อแกะจะได้มาจากแกะโตที่มีอายุมากกว่า 12 เดือนขึ้นไปซึ่งแม้เนื้อจะไม่นุ่มเท่าเนื้อแกะลูกแกะ แต่มีจุดเด่นที่รสชาติและกลิ่นที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างกัน
โดยแกะนำเข้าจากประเทศที่มีมาตรฐานการเลี้ยงสูงอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มักมีคุณภาพดีเยี่ยมและรสชาติเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ความแตกต่างระหว่างเนื้อแกะออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

แม้ว่า เนื้อแกะ ทั้งจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะได้รับการยอมรับในระดับสากลในเรื่องของคุณภาพ แต่ก็มีความแตกต่างที่น่าสนใจในแง่ของรสชาติ ลักษณะเนื้อ และวิธีการเลี้ยง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้บริโภค ซึ่งมีรายละเอียดความแตกต่าง ดังนี้
1. วิธีการเลี้ยงและสิ่งแวดล้อม
- ออสเตรเลีย: มีฟาร์มขนาดใหญ่ ใช้ระบบเลี้ยงปล่อยในทุ่งหญ้ากว้างขวาง มีทั้งแบบเลี้ยงด้วยหญ้า(grass-fed) และธัญพืช(grain-fed) ขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงของแต่ละฟาร์ม มักมีการควบคุมโภชนาการเพื่อให้เนื้อมีคุณภาพสม่ำเสมอ
- นิวซีแลนด์: ใช้ระบบเลี้ยงแบบธรรมชาติ 100% โดยการเลี้ยงด้วยหญ้า ในสภาพแวดล้อมอากาศเย็นสบายตลอดปี ทำให้เนื้อแกะมีความเป็น “ออร์แกนิก” สูงกว่าโดยธรรมชาติ
2. สายพันธุ์ของแกะ
- ออสเตรเลียเป็นแหล่งกำเนิดของแกะหลายสายพันธุ์ เช่น Merino, Dorper และ Suffolk ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีผลต่อรสชาติและความนุ่มของเนื้อ
- นิวซีแลนด์เลี้ยงแกะสายพันธุ์หลักคือ Romney และ Perendale ที่เหมาะกับภูมิประเทศและสภาพอากาศของประเทศ ให้เนื้อที่นุ่มและรสชาติเข้มข้น
3. รสชาติและกลิ่น
- เนื้อแกะออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่เลี้ยงด้วยธัญพืช (grain-fed) มีรสชาติอ่อนกว่า ทำให้เหมาะกับการนำไปปรุงในหลากหลายเมนู ปรับรสชาติได้ตามต้องการ
- เนื้อแกะนิวซีแลนด์มักมาจากการเลี้ยงด้วยหญ้า (grass-fed) ทำให้มีรสเข้มข้นและกลิ่นหอมหวาน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรสชาติแกะแบบชัดเจน
โดยทั่วไป เนื้อแกะที่เลี้ยงด้วยหญ้าจะให้รสเข้มข้นมากกว่า โดยเฉพาะหากเชือดตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนแบบเลี้ยงด้วยธัญพืชจะมีรสอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่ยังคงมีเอกลักษณ์และเหมาะกับการปรุงแต่งรสเพิ่มเติม
4. ความนุ่ม
- เนื้อแกะออสเตรเลียมีเนื้อสัมผัสแน่นกว่านิดหน่อยแต่ยังคงความนุ่ม โดยเฉพาะหากเลี้ยงด้วยธัญพืช (grain-fed) ลักษณะเนื้อที่เฟิร์มทำให้เหมาะกับการนำไปปรุงในเมนูหลากหลาย
- เนื้อแกะนิวซีแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม เนื่องจากลูกแกะมักถูกเชือดตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อรวมกับรสชาติที่เข้มข้น จึงเป็นตัวเลือกระดับพรีเมียมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเนื้อแกะคุณภาพสูง
5. ลายไขมัน
- เนื้อแกะออสเตรเลีย โดยเฉพาะแบบเลี้ยงด้วยธัญพืช (grain-fed) มักมีลายไขมันแทรกมากกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มความฉ่ำและรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณไขมันแทรกอาจแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์และอาหารที่ลูกแกะได้รับ
- เนื้อแกะนิวซีแลนด์ซึ่งส่วนใหญ่เลี้ยงด้วยหญ้า (grass-fed) มักมีลายไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อแกะออสเตรเลียที่เลี้ยงด้วยธัญพืช อย่างไรก็ตาม มักมีชั้นไขมันภายนอกที่ช่วยเก็บความชุ่มฉ่ำขณะปรุง และช่วยเสริมรสชาติให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของเนื้อแกะ

นอกจากรสชาติอันโดดเด่นแล้ว เนื้อแกะ ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น
- เนื้อแกะ – แหล่งธาตุเหล็กชั้นเยี่ยม
เนื้อแกะจัดเป็นเนื้อแดงที่ให้ธาตุเหล็กสูงกว่าเนื้อไก่หรือปลา โดยเฉพาะธาตุเหล็กชนิดฮีม (heme iron) ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าธาตุเหล็กที่พบในพืช การรับประทานเนื้อแกะจึงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะขาดธาตุเหล็กและโรคโลหิตจางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แหล่งวิตามินบีที่ครบถ้วน
เนื้อแกะเป็นแหล่งวิตามินบี 12 โดยเนื้อแกะเพียง 3 ออนซ์ให้วิตามิน B12 ได้มากถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบีอื่น ๆ เช่น วิตามินบี6, บี2 (ไรโบฟลาวิน), บี3 (ไนอาซิน) และบี5 (กรดแพนโทธีนิก) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำรุงระบบประสาทและเซลล์ประสาทให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- เสริมภูมิคุ้มกันด้วยสังกะสี
เนื้อแกะมีสังกะสีสูง โดยเนื้อแกะ 3 ออนซ์ให้สังกะสีราว 4.4 มิลลิกรัม หรือประมาณ 30% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน สังกะสีมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รักษาบาดแผล และจำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโต รวมถึงการสังเคราะห์ DNA และโปรตีน
- ช่วยต้านการอักเสบ
แม้เนื้อแกะจะมีไขมัน แต่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะเนื้อแกะที่เลี้ยงด้วยหญ้ายังให้กรดไลโนเลอิกคอนจูเกต (CLA) ซึ่งมีบทบาทช่วยลดไขมันและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
- โปรตีนคุณภาพสูง
เนื้อแกะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี โดยเนื้อแกะ 3 ออนซ์ให้โปรตีนมากกว่า 23 กรัม ซึ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รักษามวลกล้ามเนื้อ และเป็นแหล่งพลังงานที่เผาผลาญช้า ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
เนื้อแกะ ไม่ใช่แค่ทางเลือกใหม่สำหรับผู้รักเนื้อสัตว์ แต่ยังเป็นวัตถุดิบที่สามารถยกระดับมื้ออาหารของคุณให้พิเศษยิ่งขึ้น ทั้งในแง่รสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ หากคุณกำลังมองหาเนื้อคุณภาพดี คลิกที่นี่ ลองเปิดใจให้เนื้อแกะ แล้วคุณจะพบกับประสบการณ์การรับประทานที่แตกต่างอย่างมีระดับ
อ้างอิง